ข่าวสาร
::: สนใจเช่าจองพระภายในร้าน เพียงสมัครสมาชิกก็เข้าจองผ่านระบบได้ด้วยตัวท่าน หรือจะจองตรงกับผมได้เลย โทร 080-3578737 ID Line:Thornna ....:::
ผู้เข้าชมในวันนี้ 1,362
ผู้เข้าชมเมื่อวานนี้ 1,040
ผู้เข้าชมเดือนนี้ 21,266
ผู้เข้าชมเดือนที่แล้ว 27,672
ผู้เข้าชมปีนี้ 348,625
ผู้เข้าชมปีนี้ที่แล้ว 453,074
กสิกรไทย
สาขา โลตัส หนองเรือ
สุนทร สมบูรณ์
793-2-04949-4

   

  

    เหรียญหลวงพ่อผาง จิตตคุตโต

     

     เหรียญ หลวงปู่ขาว อนาลโย รุ่นแรก 

     

   เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล 

   

 

         เหรียญดอกบัว พุทโธ เนื้อเงิน 

 

        

           

          พระปิดตา หลวงปู่ทิม อิสริโก

       เหรียญ พระอาจารย์แหวน ทยาลุ

      เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล             

 

              ลิ้งค์ เพื่อนบ้าน

                     

                      

                     

                     

                     

 

              

         พัสดุถึงไหนแล้ว เช็คเลย

   

เหรียญ รุ่นแรก พระอาจารย์สุภาพ ธมมปญโญ วัดทุ่งสว่าง จ.สกลนคร 2534
หมวดหมู่ : พระเกจิ ภาคอิสาน
จังหวัด : สกลนคร
รหัสสินค้า : 02298
ราคา : 400 บาท
จำนวนผู้เข้าชม : 1643
สถานะสินค้า :

 
 
   

ประวัติ

หลวงปู่สุภาพมีนามเดิมว่า สุภาพ จรรยา เกิดเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2465 ที่บ้านโคกคอน ต.โคกสี

อ.สว่างแดนดินจ.สกลนคร เป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวชาวนา ชีวิตวัยเยาว์ของ ด.ช.สุภาพ

ต้องช่วยครอบครัวทำนาหาเลี้ยงชีพมาตั้งแต่เล็ก ด้วยนิสัยที่ชอบเรื่องบุญเรื่องกุศลจึงได้ขอบิดา

มารดาบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุครบ 17ปี โดยได้เข้า|บรรพชาที่วัดธาตุมีชัย ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน

จ.สกลนคร อันเป็นวัดประจำหมู่บ้าน บรรพชาแล้วสามเณรสุภาพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาเท่าที่ครูบา

อาจารย์จะเมตตาให้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการหาเรียนหาอ่านเองเสียมากกว่า เนื่องจากไม่มีครูบา

อาจารย์มาอบรมใกล้ชิด ผู้ที่บวชในยุคนั้นเมื่อบวชเข้ามาแล้วก็มักจะอยู่เฉยๆ ไม่มีโอกาสศึกษาการ

ประพฤติ ปฏิบัติอันเนื่องมาจากไม่มีผู้สอนบวชอยู่ได้ 2 ปีจึงสึกออกมาช่วยครอบครัวทำมาหาเลี้ยงชีพ

ต่อด้วยรู้สึกสงสารที่บิดามารดาต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงน้องร่วมสายเลือดอีกหลายชีวิต แต่ใจก็ยัง

คงคิดถึงการบวชเป็นพระอยู่เสมอ และคิดไว้ว่าหากทำงานหาเงินให้ครอบครัวพอหมุนเวียนได้เมื่อไหร่

ก็จะไปบวชเป็นพระอีกครั้งหลังก้มหน้าทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวอยู่หลายปีจนบิดามารดา

และน้องๆ ไม่ได้รับความลำบากอีกแล้ว หลวงปู่สุภาพจึงสละทางโลกหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม โดยอุปสมบท

เป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย ที่วัดธาตุมีชัย ซึ่งเป็นวัดเดียวกับที่ท่านเคยบวชเณรนั่นเอง ครั้นบวชแล้ว

แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาการปฏิบัติภาวนาเสียที ท่านจึงเริ่มมองหาครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

เพื่อที่จะไปขอโอกาสอยู่ฝึกปฏิบัติด้วย 5 ปีต่อมา หลวงปู่สุภาพจึงญัตติใหม่ในฝ่ายธรรมยุตเมื่อปี 2491

ที่วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อ.บ้านดงจ.อุดรธานี ญัตติเรียบร้อยแล้วท่านก็มาจำพรรษาที่วัดทุ่งสว่าง

อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร จากนั้นจึงมุ่งไปพบ หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ หนึ่งในศิษย์องค์สำคัญของ

พระอาจารย์มั่น ที่บ้านดงเย็น จ.อุดรธานี เพื่อที่จะกราบขอโอกาสในการอยู่ฝึกปฏิบัติภาวนาด้วย

เมื่อพบกัน หลวงปู่พรหม ก็ถามขึ้นก่อนว่า “เอาจริงหรือ” หลวงปู่สุภาพจึงตอบไปว่า “กระผมตั้งใจจะมา

ขอรับการปฏิบัติจากท่าน ขอเมตตาสั่งสอนผู้น้อยด้วยเถิดครับ”ได้ฟังคำยืนยันดังนั้น หลวงปู่พรหมจึง

เมตตาให้อุบายธรรมในการปฏิบัติ ท่านว่า “ทำภาวนานั้น พุทโธ เรื่อยๆ ไปทำความเพียรมากๆ ทำติด

ต่อกันไป หนึ่งปีไม่ได้อะไร ก็สองปีสามปี ต้องดีสักวันหนึ่ง” 

สิ่งอื่นไม่ต้องระวังจนเกินไปจงทำภาวนาพุทโธอย่างเดียว สิ่งที่ไม่รู้ ก็จะรู้ สิ่งที่ไม่เข้าใจก็จะ

เข้าใจ สิ่งที่ไม่เคยเห็น ก็จะเห็น ไม่ต้องถามใคร มันรู้มันก็จะหายสงสัยเอง ขอให้ใจสงบอย่าง

เดียวเท่านั้น มันจะไม่มีคำถาม นอกจากคำตอบอย่างเดียว

ล่วงเข้าพรรษาที่ 2 หลวงปู่สุภาพจึงมีโอกาสไปกราบถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น

หลวงปู่สุภาพเมตตาเล่าเรื่องราวในช่วงนี้เอาไว้ว่า “เราคิดว่ายังอ่อนแออยู่ ไม่อยากให้ครูบาอาจารย์

ท่านต้องพะวงกับเรา เวลานั้นกิตติศัพท์ของท่านหอมฟุ้งไปหมด จิตใจฝักใฝ่อยากไปพบ

อยากไปกราบท่าน แต่ยังไม่ตัดสินใจจะเข้าไปบ้านหนองผือ เพราะคิดว่ายังภาวนาไม่เป็นก็ไม่

อยากเป็นภาระกับครูบาอาจารย์ จนก่อนเข้าพรรษาจึงตัดสินใจไปกราบท่าน แรกๆ คิดว่าเข้าพบท่าน

พระอาจารย์มั่นยากและท่านคงดุ แต่เมื่อพบจริงๆ หลวงปู่เสียดายเวลากับลังเลใจมากนานแสนนาน

เพราะคิดว่าเรายังไม่พร้อม เวลานั้นท่านชรามาก อาการอาพาธของท่านมีบ้างแล้ว แต่จิตใจของ

ท่านกล้าหาญไม่เคยเสียทีแก่กิเลส ไม่วุ่นวายเหมือนคนแก่ใจฝ่อทั้งหลาย ท่านพระอาจารย์มั่น

เมตตาแนะนำธรรมะทำให้เกิดกำลังใจมาก ได้พบหมู่คณะพระป่าด้วยกันอย่างเต็มที่ ได้กราบ

ครูบาอาจารย์จำนวนมากที่มาชุมนุมกัน”

หลวงปู่สุภาพอยู่กับพระอาจารย์มั่นจนกระทั่งออกพรรษา ท่านก็ละสังขารไป หลวงปู่สุภาพจึงกลับมา

จำพรรษาที่วัดทุ่งสว่าง กระทั่งพรรษาที่ 3 จึงตัดสินใจออกเดินธุดงค์เข้าป่าเพื่อฝึกปฏิบัติภาวนา

โดยเดินธุดงค์ไปในหลายจังหวัดทางภาคอีสาน ภาคเหนือ รวมทั้งเคยไปจำพรรษาที่เขาพระวิหารประเทศ

กัมพูชาระหว่างการเดินธุดงค์นั้นท่านร่วมปฏิบัติกับพ่อแม่ครูอาจารย์สายพระอาจารย์มั่นหลายองค์

อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านพ่อลี ธัมมธโร พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

และพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย ระหว่างเส้นทางธุดงค์นั้นหลายครั้งหลายคราที่สังขารถูกรุมเร้าด้วย

เวทนาอย่างหนักจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแต่หลวงปู่สุภาพก็ยึดเอาธรรมเป็นที่ตั้งจนผ่านมาได้ทุกครั้ง

ท่านเมตตาเล่าความตอนนี้เอาไว้ว่า เมื่อคราวที่ธุดงค์ไปจำพรรษาที่เขาพระวิหารนั้น ได้อาพาธเป็น

โรคมาลาเรียอย่างหนัก ท่านว่าความเจ็บป่วยด้วยโรคมาลาเรียครั้งนั้นบั่นทอนจิตใจตลอดถึงการ

ภาวนามาก พอเป็นไข้ก็ลุกไม่ไหว เดินไม่ไหว“เวลาเจ็บปวดเหมือนใครเอาเชือกมารัดศีรษะ

แล้วขมวดเกลียวเข้ามาๆ ปวดเหลือทน เลยขออธิษฐานจิตว่า แม้จะตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ว่าละ

ที่อาตมาสละบ้านเรือนมาอยู่ป่าดงพงไพรไกลญาติพี่น้อง ก็เพื่อธรรมะของ

พระพุทธเจ้า แม้ไม่พบธรรมะตายเสียก่อน ขอให้เป็นไปชาติหน้ากลับมาทำความเพียรต่อไปอีก”

เมื่อยาที่จะรักษาก็ไม่มี หลวงปู่สุภาพจึงใช้ธรรมโอสถ เอาชนะโรคภัยที่รุมเร้า “เราฝึกฝนเอาความดี

เอาธรรมเข้าสู่จิตใจมากๆ ที่สุด แล้วตั้งจิตให้มั่นคงต่อคุณความดีนั้นส่วนความเจ็บป่วย ปวดรวดร้าว

แค่ไหนก็ตาม อย่าให้มันไหลเข้าสู่จิตใจ ปิดจิตใจเสีย อย่าเปิดรับความเจ็บปวดถ้าระงับได้ ธรรมโอสถ

ก็สามารถรักษาโรคร้ายได้”

“จิตใจมันไม่เคยทุกข์เลยนะ จิตมันสบาย อาการเจ็บไข้ได้ป่วยมันไหลเข้าสู่จิตใจไม่ได้

มันก็ดีแต่อยู่ภายนอก จิตใจมันสบายดีทุกอย่างไม่คลอนแคลน เวลานั้นมันเฉยๆ สบายแม้ตาย

เมื่อไรก็ไม่เป็นห่วงจิตใจมันมีที่พึ่งแล้ว มันก็สบาย“ส่วนโรคภายนอกก็พิจารณาธรรมะ

เอาเวทนาตั้งไว้ แล้วเพ่งมองอยู่ด้วยจิตใจมั่นคง ในที่สุดธรรมโอสถก็สามารถระงับดับ

โรคร้ายนี้ได้จริงๆ”

แม้ในช่วงหนึ่งอาการป่วยจะรุนแรงจนสังขารแทบจะทนไม่ไหว ท่านก็พยายามรวบรวมสติกำหนด

รู้อยู่ตลอดหลวงปู่สุภาพเล่าช่วงเวลานั้นเอาไว้ว่า “เวลานั้นลมหายใจของเราค่อยๆ มันจะดับ

กำลังวังชาหมดนะทำอะไรไม่ได้เลยเวลานั้น มันนอนอยู่เฉยๆ ลมหายใจเข้าไม่ถึงปอดนะ

พอหายใจเข้ามันเหมือนกับมีอะไรมาดันลมเอาไว้ ก็กำหนดรู้ โอ...นี่เราใกล้จะตายแล้วนะ

“ลมเฮือกที่ 2 หายใจเข้าสิ่งภายในไม่ยอมรับ มันดันลมมาถึงลิ้นปี่ ลมหายใจที่ 3 หายใจเข้าไป

ถึงกลางอกก็หยุดอีก เพราะมันเหมือนมีอะไรดันอุดตันไว้ ลมหายใจที่ 4 หายใจเข้าไปถึงแค่กระเดือก

ก็หยุดแค่นั้น ดันลมไว้ไม่ให้เข้า เกือบจะหมดลมแล้วนะ ลมหายใจที่ 5 หายใจเข้าอีก

คราวนี้ลมวิ่งไปได้นิดเดียวแล้วหยุด“ลมหายใจสุดท้าย หายใจเข้า มีลมนิด พอสัมผัสปลาย

จมูกก็เงียบไป ไม่ทราบว่าลมอะไรจึงว่างอย่างนี้ คิดนะพอมันมีช่องว่าง ลมข้างนอกก็ดันเข้า

มาทางจมูก นี่เป็นความรู้สึกในขณะนั้นนะ ลมหายใจก็ค่อยๆ ลึกลงๆ ลึกเข้าปอด จากนั้นก็หายใจเข้า

-ออกสบายขึ้นเรื่อยๆ จนที่สุดก็เป็นปกติ”หลวงปู่จึงพูดกับหมู่คณะว่า “โอ...นี่เราตายไปแล้วนี่นะ

กำหนดรู้ทุกขณะจิต เรารู้แล้วว่าคนตายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง” หลังจากวันนั้นอาการก็ค่อยๆ ทุเลา

และหายในที่สุดด้วยอุปนิสัยพูดน้อยและเก็บตัว จึงทำให้ไม่มีเทศธรรมของหลวงปู่สุภาพ

ถูกบันทึกไว้มากนัก แต่เทศนาธรรมสั้นๆ บางตอนที่มีผู้บันทึกไว้ ก็กินความในทางธรรมอย่างลึกซึ้ง

“คนเราเกิดมาเหมือนคนตาบอด เพราะมีอวิชชาติดตามปกปิดตาเราเรื่อยมา มันไม่อยาก

จะเปิดตาให้เราเห็นความดีหรอก ก็เหมือนละครในจอกระจก มันเล่น มันร้อง มันตลก

มันหัวร่ออยู่ในนั้น มันหลอกลวงตาเราตลอดเวลา เราก็ไม่ยอมละวางเที่ยวเพ่งมองมายา

ของมันนั้น“ต่อเมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านได้มาฉีกตาให้ดู ชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นธรรมะแท้ๆ ของ

พระพุทธเจ้า นี่เป็นของดีมีประโยชน์ ดังนั้นพวกเราจึงประพฤติปฏิบัติตาม การศึกษาธรรม

วินัยให้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ให้มีการฝึกฝนขยันหมั่นเพียร การทำความพากเพียรมากๆ นั้น

จะเกิดอิสระทางจิตใจมาก ขออย่าได้เกียจคร้านเลย

“ธรรมะมิใช่มายา มิใช่ของเล่น ใครก็ตามเมื่อรู้ธรรมะ ก็จงรีบเร่งปฏิบัติได้แล้ว”

ท่านดำรงขันธ์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่ศิษยานุศิษย์มาจนกระทั่งช่วงปี 2533 ท่านก็มีดำริให้

ลูกศิษย์สร้างเหรียญบูชาขึ้นมา 1 รุ่น ในคืนที่ทำพิธีปลุกเสก ท่านก็เรียกช่างที่ดำเนินการทำเหรียญ

มาเพื่อชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดพร้อมกับมอบหมายงานต่างๆ ให้รองเจ้าอาวาสเป็นที่เรียบร้อย

แล้วท่านก็เข้ากุฏิจำวัดในท่านั่ง รุ่งเช้าศิษย์ที่คอยอุปัฏฐากจึงพบว่าท่านละสังขารไปในท่านั่งใน

คืนที่ผ่านมานั่นเอง